จากการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมสำรวจผลงานตัวเองในโลกออนไลน์ตั้งแต่เช้าจรดค่ำของชาวโลกนับล้านคน ทำให้นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกนเริ่มการศึกษาวิจัยงานชิ้นใหม่ เพื่อชี้ให้เห็นถึงอันตรายจากการเสพติดโซเชียลมีเดีย ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้เอาตัวเองเป็นที่ตั้งมากขึ้น และไม่สนใจหรือรับฟังความคิดเห็นคนรอบข้าง
นักวิจัยได้รวบรวมผลการสำรวจมาตั้งแต่ปี 2010-2011 โดยกระจายแบบสำรวจไปยังนักศึกษา 486 คน และผู้ใหญ่ 93 คน ซึ่งมีสองคำถามให้เลือกทำเพื่อบ่งบอกถึงความเป็นตัวเอง ข้อแรกคือ รู้เสมอว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ (มีแนวโน้มหลงตัวเองสูง) และข้อสอง ไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไร(แสดงว่ามีแนวโน้มไม่หลงตัวเอง)
นอกจากนี้ ยังใช้ลักษณะความหลงตัวเองจำพวกความกล้าแสดงออก ความเหนือกว่า การมีสิทธิออกเสียง ความหยิ่งยโส ความพอใจในตัวเอง และการมีลักษณะโดดเด่นมากกว่าคนอื่นๆ คำตอบที่ได้ก็แบ่งเป็นทั้งของเด็กและผู้ใหญ่ โดยพบว่า เด็กสมัยนี้มักจะใช้ทวิตเตอร์แบ่งปันข้อความสั้นๆมากกว่าการใช้เฟซบุ๊ก ส่วนผู้ใหญ่มักใช้เฟซบุ๊กเป็นช่องทางการระบายอารมณ์
ที่น่าแปลกคือ พฤติกรรมของ“เด็ก”ที่แสดงออกผ่านทวิตเตอร์นั้น เป็นเพียงแค่การแสดงออกทางความคิดเห็นเพียงอย่างเดียว ผิดจาก “ผู้ใหญ่” ที่มักจะใช้เฟซบุ๊กเป็นช่องทางเรียกร้องความสนใจจากกลุ่มเพื่อนที่มีร่วมกัน โดยมักจะหาแนวทางใหม่ๆเพื่อสร้างกระแสให้ตนเองโดดเด่นมากกว่าคนอื่น จนทำให้เกิดการเข้าข้างตัวเองและกระโจนเข้าสู่ภาวะหลงตัวเองในที่สุด
แต่สิ่งที่น่าตกใจไปมากกว่านั้นก็คือ“ผู้ใหญ่” รู้ว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผิด แต่ก็ยังคงทำต่อไป อีกทั้งมีหลายกรณีที่สิ่งที่โพสต์และแชร์กันบนโลกออนไลน์ทำให้บรรดาผู้ใหญ่เหล่านี้ขาดความมีวุฒิภาวะ แต่ก็ยังทำกันอยู่ร่ำไปนั่นเพราะผลพวงจากอาการเสพติดโลกออนไลน์ จนกลายเป็นอาการหลงตัวเองอย่างจัง