หาให้เจอว่ามีสาเหตุอะไรในตัวลูกที่ทำให้เขาเล่นเกมมาก
"เพื่อผ่อนคลาย"
เพราะเครียด เหนื่อยล้ากับการเรียน ถ้าไม่นับวันธรรมดาที่ต้องเรียนหนังสือและทำการบ้านจำนวนมหาศาลแล้ว มีเด็กจำนวนไม่น้อยเลยที่เครียดจากการถูกบังคับให้เรียนพิเศษ หลายคนก็แทบไม่มีเวลาให้ผ่อนคลาย เพราะฉะนั้นเกมจึงเป็นสิ่งที่ช่วยระบายความเครียดที่ทำได้ง่ายที่สุด เพียงแค่หยิบมือถือขึ้นมาเปิดไม่กี่ทีก็สามารถหาความสุขได้แล้ว
...ช่วงแรกอาจจะเล่นเพื่อผ่อนคลาย แต่เมื่อเล่นมากเข้าจากผ่อนคลายก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการติดเกมได้เหมือนกัน
"เพื่อความสนุก"
เพราะชีวิตจริงมันน่าเบื่อ หลายครั้งเวลาเด็กบอกว่า “เบื่อจัง ไม่มีอะไรทำ” พ่อแม่บางคนมักจะบอกให้ลูกไปอ่านหนังสือ ทำการบ้านที่ค้างไว้ กวาดบ้าน รดน้ำต้นไม้ เพื่อแก้เบื่อ หรือแม้กระทั่งให้เรียนพิเศษเพื่อที่จะได้ไม่ว่าง กิจกรรมดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ได้ช่วยสร้างความสนุก แถมยังทำให้เด็กเบื่อมากกว่าเดิมอีก
เพราะจริงๆ แล้วความสุขของเด็กมาจากการที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจ บางอย่างอาจจะไร้สาระในมุมผู้ใหญ่ แต่สำหรับเขาแล้วเป็นการได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ เช่น ได้ทดลองทำสิ่งประดิษฐ์ด้วยตัวเอง ลองทำอาหารแปลกใหม่หรือทำอาหารด้วยตัวเอง เป็นต้น
นอกจากนี้เด็กจะรู้สึกสนุกก็ต่อเมื่อมี “เพื่อนเล่น” ของเล่นที่มี เช่น ดินน้ำมัน พับกระดาษ เลโก้ บอร์ดเกม สเกตบอร์ด ถ้าให้เล่นคนเดียวมักจะเล่นได้ไม่นาน แต่ถ้ามีเพื่อนเล่นด้วยจะสนุก เพลิดเพลิน พ่อแม่ควรหาโอกาสลงเล่นไปด้วยกันกับลูก และจะดีมากถ้าหากให้ลูกเป็นคนสอนเล่น ในขณะที่เล่นพยายามงดบ่นหรือสอนลูก ให้ท่องไว้ว่า “เล่นเพื่อความสนุก” เมื่อลูกมีกิจกรรมที่สร้างความสนุกได้หลากหลาย ลูกก็ไม่ต้องพึ่งเกมเพื่อสร้างความสนุกเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป บางทีความสนุกจากกิจกรรมที่ทำอยู่ก็อาจจุดประกายความสนใจและอยากฝึกฝนมากขึ้น ซึ่งนั่นจะทำให้ลูกรู้ว่าตัวเองชอบอะไร ถนัดอะไร ช่วยให้มีเป้าหมายในการใช้ชีวิตมากขึ้นด้วย
...แต่หากชีวิตจริงไม่สนุก น่าเบื่อ ก็ไม่แปลกที่ลูกจะพึ่งพาเกมเพื่อสร้างความสุขให้ตัวเอง จากเล่นเพื่อความสนุกก็กลายเป็นเล่นจริงจังมากขึ้นจนถึงขั้น “ติดเกม”
"เพื่อมีสังคมเพื่อน"
เด็กและวัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังพัฒนาด้าน “ตัวตน (self)” ต้องการการยอมรับจากสังคมเพื่อน ต้องการให้เพื่อนชื่นชม เห็นความสำคัญของตัวเอง หากในโลกแห่งความเป็นจริงเด็กไม่มีเพื่อน ถูกเพื่อนรังแก ขาดการยอมรับจากเพื่อนแล้ว ก็มีแนวโน้มที่จะหาสังคมใหม่อย่างโลกออนไลน์ ในโลกแห่งความเป็นจริงอาจจะมีปัญหาการเรียน ปัญหาพฤติกรรม ทำให้ไม่มีใครสนใจ มองว่าเป็นส่วนเกิน แต่ในโลกออนไลน์เด็กอาจจะทำได้ดีกว่า และด้วยสิ่งจูงใจในเกมที่ทำให้อยากท้าทายความสามารถมากขึ้น เด็กก็หมั่นฝึกฝนกลายเป็นทักษะติดตัวจนได้รับการยอมรับจากเพื่อน
...เด็กติดเกมหลายคนมองว่าเกมทำให้มีเพื่อนมากขึ้น เพราะในชีวิตจริงไม่มีเพื่อนเหมือนในเกม
"เพื่อเติมเต็มตัวตน"
อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นว่า เด็กและวัยรุ่นกำลังพัฒนาตัวตน (self) หากในชีวิตจริงไม่มีใครช่วยเติมเต็มตัวตนได้ เมื่อทำดีกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ควรทำอยู่แล้ว ไม่ได้รับคำชม แต่ถ้าทำผิดพลาดกลับเจอคำตำหนิรุนแรง บั่นทอนจิตใจ ก็ทำให้รู้สึกไม่มีคุณค่าในตัวเอง เมื่อตัวตนไม่ได้ถูกเติมเต็มจากโลกแห่งความจริง ในทางตรงกันข้ามโลกของเกมกลับเป็นโลกที่สามารถเริ่มต้นใหม่เรื่อยๆ เป็นโลกที่ให้โอกาสพัฒนาความสามารถของตัวเองเสมอ มีสิ่งจูงใจ ได้รับคำชมและกำลังใจตลอดเวลา แพ้ก็ไม่เป็นไรเริ่มต้นใหม่ได้ เมื่อตัวตนได้รับการเติมเต็มจากเกม ก็ทำให้รู้สึกมีคุณค่ามากขึ้น เพราะฉะนั้นพ่อแม่สามารถเลือกได้ว่าจะให้ลูกรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองจากเกม หรือคำชมจากพ่อแม่
...เมื่อใดก็ตามที่เด็กรู้สึกมีคุณค่าจากสิ่งที่ทำอยู่ ย่อมอยากพัฒนาตัวเองจากสิ่งนั้นให้ดีขึ้น การเล่นเกมจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เป็นฝ่ายเล่นเกมก็กลายเป็นฝ่ายที่ถูกเกมเล่นงานไปเสียแล้ว
"เพื่อเป็นหลุมหลบภัยทำให้ลืมทุกข์"
โลกของเด็กและวัยรุ่นอาจจะยังมีแค่บ้านกับโรงเรียน ดังนั้นบรรยากาศในบ้านจึงมีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เด็กมีความสุขหรือทุกข์ใจ หากบรรยากาศในบ้านมีแต่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไปโรงเรียนก็ไม่มีความสุข โดนตำหนิ ถูกรังแกเป็นประจำ จะทำให้เด็กรู้สึกไม่ปลอดภัย ขาดความมั่นคงทางจิตใจ มองว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมหรือจัดการอะไรได้เลย เด็กก็มีแนวโน้มจะหนีไปอยู่ในโลกของเกม เพราะอย่างน้อยเขาก็พอจะควบคุมหรือจัดการได้มากกว่า
...เมื่ออยู่นานและบ่อยขึ้นเรื่อยๆ โลกของเกมก็อาจกลายเป็น "ความสุข" เพียงหนึ่งเดียวของเด็ก แน่นอนว่าโอกาสที่จะติดเกมก็สูงมากขึ้นตามไปด้วย