window.dataLayer = window.dataLayer || []; function gtag() { dataLayer.push(arguments); } gtag('js', new Date()); gtag('config', 'G-CBGDY77RP9');

เหตุผล 10 ประการที่ทำไมจึงควรห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี เล่นมือถือ

เหตุผล 10 ประการที่ทำไมจึงควรห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี เล่นมือถือ
เมื่อ 2 ปีที่แล้ว

เหตุผล 10 ประการที่ทำไมจึงควรห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี เล่นมือถือ

Cris Rowan ผู้เขียน

สถาบันกุมารแพทย์แห่งอเมริกาและสมาคมกุมารแพทย์แห่งแคนนาดา ทารกอายุ 0-2 ปี ไม่ควรที่จะสัมผัสกับเทคโนโลยีใดๆ เด็กอายุ3-5 ปี ควรจำกัดให้ใช้ได้เพียงวันละ 1 ชม. และ เด็กอายุ 6-8 ปี ควรจำกัดให้ใช้ได้เพียงวันละ 2 ชม. เด็กและเยาวชนได้รับการแนะนำเรื่องการใช้เทคโนโลยีซึ่งมีความรุนแรงและบ่อยครั้งมีผลกระทบคุกคามชีวิต อุปกรณ์มือถือ (โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ท เกมอิเล็กทรอนิกส์)สามารถเข้าถึงและใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้เพิ่มขึ้นมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก

Cris Rowan ในฐานะของนักกิจกรรมบำบัด ได้เรียกร้องให้พ่อแม่ ครู อาจารย์ และรัฐบาล ที่จะห้ามการใช้อุปกรณ์มือถือทั้งหมด ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ต่อไปนี้เป็น 10 เหตุผลในงานวิจัยที่ห้ามใช้อุปกรณ์มือถือ

1. การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของสมอง

ระหว่าง 0-2 ปี สมองของทารกมีขนาดเป็น 1 ใน 3 และยังคงพัฒนาอย่างรวดเร็วต่อเนื่องไปจนถึงอายุ 21 ปี พัฒนาการของสมองในช่วงต้นถูกกำหนดโดยการกระตุ้นของสิ่งแวดล้อมหรือการขาดการกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม  การกระตุ้นพัฒนาการทางสมองที่เกิดจากการให้เข้าถึงเทคโนโลยีมากเกินไป (โทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ต IPads โทรทัศน์) สัมพันธ์กับการขาดสมาธิ บกพร่องในการคิดแก้ปัญหา การตัดสินใจ การวางแผน คิดช้า การเรียนรู้บกพร่อง หุนหันพลันแล่นเพิ่มขึ้นและความสามารถในการในการควบคุมตนเองลดลง เช่น การร้องอาละวาด

2. พัฒนาการล่าช้า

เทคโนโลยีจำกัดการเคลื่อนไหวซึ่งอาจส่งผลให้พัฒนาการล่าช้า 1 ใน 3ของเด็กวัยเรียนในปัจจุบันมีพัฒนาการที่ล่าช้า ส่งผลเสียต่อความรู้และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เนื่องจากการเคลื่อนไหวนั้นช่วยเพิ่มความสนใจและความสามารถในการเรียนรู้ การใช้เทคโนโลยีในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี เป็นอันตรายต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก

 

3. การระบาดของโรคอ้วน

การดูโทรทัศน์และเล่นวีดีโอเกมสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของโรคอ้วน เด็กที่ได้รับอนุญาตให้ใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในห้องนอน มีอุบัติการณ์การเกิดโรคอ้วนเพิ่มขึ้นถึง 30%โดย 1 ใน 4 ของเด็กในแคนนาดา และ 1 ใน 3 ของเด็กในอเมริกา เป็นโรคอ้วน  30% ของเด็กที่เป็นโรคอ้วนจะพัฒนาไปเป็นเบาหวานและคนอ้วนจะมีความเสี่ยงสูงกว่าที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจวาย อายุขัยจึงสั้นลง เด็กที่เป็นโรคอ้วนในศตวรรษที่ 21 อาจจะเป็นรุ่นแรกที่จะต้องอยู่กับครอบครัวไม่สามารถออกไปใช้ชีวิตของตนเองได้

4. นอนไม่หลับ

พ่อแม่จำนวน 60% ไม่ได้ดูแลการใช้เทคโนโลยีของเด็ก มีเด็กถึงที่ 75% ได้รับอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีภายในห้องนอนของพวกเขา  75% ของเด็กอายุ 9และ 10 ปี มีอาการนอนไม่หลับมากขึ้นซึ่งส่งผลกระทบและก่อให้เกิดอันตราย

5. ความเจ็บป่วยทางจิต

การใช้เทคโนโลยีมากเกินไปเป็นเหตุปัจจัยในอัตราการเพิ่มขึ้นของภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล ภาวะผูกพันผิดปกติในวัยเด็ก ขาดสมาธิ ภาวะออทิซึม โรคอารมณ์ 2ขั้ว โรคจิตและปัญหาพฤติกรรมในเด็ก โดย 1 ใน 6 ของเด็กในแคนนาดาได้รับการวินิจฉัยว่ามีความเจ็บป่วยทางจิต เด็กหลายคนได้รับผลกระทบจากการใช้ยาทางจิตเวช

6. ความก้าวร้าว

เนื้อหาของสื่อที่มีความรุนแรงอาจทำให้เด็กเกิดความก้าวร้าว ทุกวันนี้เด็กเล็กๆได้รับสื่อที่มีความรุนแรงทางร่างกายและทางเพศเพิ่มมากขึ้น ภาพการมีเพศสัมพันธ์อย่างโจ่งแจ้ง การฆาตรกรรม การข่มขืน การทรมานและการทำให้พิการ เช่นเดียวกับ ในภาพยนตร์หรือโทรทัศน์
ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดให้ความรุนแรงของสื่อเป็นความเสี่ยงด้านสาธารณสุขเนื่องจากเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กเกิดความก้าวร้าว

7. ภาวะสมองเสื่อมจากสื่อดิจิตอล

เนื้อหาจากสื่อที่มีความเร็วสูงสามารถทำให้เกิดอาการสมาธิสั้นทำให้ความสนใจและความจำลดลง เนื่องจากสมองลดการสื่อประสาทไปยังสมองส่วนหน้า ทำให้เด็กไม่สามารถที่จะให้ความสนใจและเรียนรู้ได้

8. การเสพติด

เมื่อพ่อแม่เข้าใกล้เทคโนโลยีมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งออกห่างจากบุตรหลานของตนมากขึ้นเท่านั้น ในช่วงเวลาที่พ่อแม่ยุ่งอยู่กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ ทำให้เด็กไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่และสามารถที่จะเข้าถึงอุปกรณ์มือถือได้ง่าย ส่งผลให้เด็กเสพติดอุปกรณ์ต่างๆเหล่านี้

9. การปล่อยรังสี

ในเดือนพฤษภาคมปี 2011 องค์การอนามัยโลก จัดให้โทรศัพท์มือถือ (และอุปกรณ์ไร้สายอื่นๆ) อยู่ในประเภทความเสี่ยง 2B (มีสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้) เนื่องมาจากการปล่อยรังสี               James McNameeและสาธารณสุขแคนนาดา ออกคำเตือนในเดือนตุลาคม ปี 2011 เด็กๆเปราะบางกว่าผู้ใหญ่ในหลายๆทางเนื่องจากสมองและระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายกำลังพัฒนา ดังนั้นจึงไม่สามารถบอกได้ว่าความเสี่ยงจะเท่ากันระหว่างในผู้ใหญ่และเด็ก

ในเดือนธันวาคม 2013 DR. Anthony Millor จากมหาวิทยาลัย โตรอนโต คณะสาธารณสุข ได้ให้คำแนะนำโดยอ้างอิงจากงานวิจัยชิ้นใหม่ ว่าการรับสัญญาณความถี่ของคลื่นวิทยุสามารถแบ่งได้เป็น 2ประเภท คือ 2A (อาจก่อมะเร็งได้) และ แบบไม่ใช่ 2B (สารก่อมะเร็งได้) สถาบันเด็กของอเมริการ้องขอให้มีการตรวจสอบการปล่อยรังสี EMF จากอุปกรณ์เทคโนโลยี อ้างถึง 3เหตุผลที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อเด็ก

10. ความไม่ยั่งยืน

วิธีการที่เด็กๆจะได้รับการเลี้ยงดูและการศึกษาด้านเทคโนโลยีจะไม่ยั่งยืนอีกต่อไป เด็กคืออนาคตของเรา แต่ไม่มีอนาคตสำหรับเด็กที่ใช้เทคโนโลยีมากจนเกินไป วิธีการของทีมเป็นสิ่งจำเป็นและเร่งด่วนเพื่อที่จะช่วยลดปริมาณการใช้เทคโนโลยีของเด็กๆ

 

คู่มือการใช้งานเทคโนโลยีสำหรับเด็กและผู้เยาว์ ถูกพัฒนาโดย Cris Rowanนักกิจกรรมบำบัดในเด็กและผู้เขียนหนังสือVirtual ChildและDr. Andrew Doanนักประสาทวิทยา และผู้เขียนหนังสือ ติดเกม(Hooked on Games)และDr. Hilarie Cashผู้อำนวยการโครงการฟื้นฟูผู้ติดอินเตอร์เน็ต และผู้เขียน Video Games and Your Kids ร่วมกับ สมาคมกุมารแพทย์อเมริกาและสมาคมกุมารแพทย์แคนนาดาในความพยายามที่จะให้เด็กทุกคนมีอนาคตที่ยั่งยืน

 

 

 

ช่วงอายุ

 

จำนวนการใช้งาน

 

ทีวีที่ไม่มีความรุนแรง

 

โทรศัพท์มือถือ

 

เกมที่ไม่มีความรุนแรง

 

เกมที่มีความรุนแรง

เกมออนไลน์ที่มีความรุนแรง และ/หรือ สื่อลามก

0-2 ปี

-

-

-

-

-

-

3-5 ปี

1 ชม./วัน

/

-

-

-

-

6-12 ปี

2 ชม./วัน

/

-

-

-

-

13-18 ปี

2 ชม./วัน

/

/

จำกัด 30 นาที /วัน

-

 
 
เรียบเรียงโดย Patchareeya P. 
Healthy Gamer